อาการการตั้งครรภ์ไม่ได้มีเฉพาะแค่การคลื่นไส้อาเจียนเท่านั้น เพราะ “อาการของคนตั้งครรภ์” ในระยะแรกๆ อาจจะไม่เหมือนกันทุนคน บางคนแพ้มาก หรือ ว่าที่คุณแม่บางคนตั้งครรภ์โดยไม่มีอาการแพ้ท้องเลยสักนิด ส่วนอีกหลายคนก็มีอาการแปลกๆ ที่ชวนให้เข้าใจผิดว่าเป็นอาการเจ็บป่วยแทนเสียนี่แต่ก็จะมีอาการอื่นๆให้สังเกตุได้บ้าง ซึ่งเราจะรวมเอาอาการคนท้องในลักษณะต่างๆ ที่คนท้องจะมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ให้ว่าที่คุณแม่ได้ลองสังเกตุกันว่า อาการของคุณตอนนี้ บ่งบอกว่าคุณมีการตั้งครรภ์แล้วหรือยัง ? ว่าที่คุณแม่หมาดๆ จะมีอาการอะไรบ้าง ลองไปดูกันหน่อยดีกว่า
- แพ้ท้อง ส่วนมากจะพบเมื่อตั้งครรภ์อ่อนๆ โดยมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมักเป็นตอนเช้า แก้ไขโดยให้ปรับสภาพจิตใจ หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ชอบและรับประทานอาหารครั้งละไม่มาก แต่เพิ่มความถี่หรือจำนวนครั้งขึ้น หรือรับประทานอาหารอ่อน และเครื่องดื่มอุ่นๆ ซึ่งเมื่ออายุครรภ์ได้ 4 เดือนก็จะหายแพ้
- ตกขาว ส่วนมากจะพบมีตกขาวเพิ่มมากขณะตั้งครรภ์ ให้อาบน้ำตามปกติ ยกเว้นถ้าคันหรือมีกลิ่นผิดปกติต้องพบแพทย์
- ท้องผูก พบได้มนบางคน แก้ไขโดยดื่มน้ำและรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ถ้าไม่หายต้องพบแพทย์
- ปัสสาวะบ่อย เกิดจากมดลูกขยายใหญ่ขึ้นไปกดกระเพาะปัสสาวะ แต่ถ้าปัสสาวะแวบขัดไม่สะดวกต้องมาพบแพทย์
- อาการเมื่อนล้าและง่งนอน พบบ่อยเมื่อตั้งครรภ์เริ่มแรก โดยจะรู้สึกอ่อนเพลียง่วงนอน
- เส้นเลือดขอด ส่วนมากคลอดแล้วก็จะหาย ควรเปลี่ยนอิริยาบถให้เหมาะสมไม่เดินหรือยืนท่าเดียวนานๆ ควรนั่งหรือนอนยกเท้าสูง หลังจากเดินหรือทำงาน วันละประมาณ 15-20 นาที ร่วมกับใช้ผ้ายางรัดขา
- ท้องลาย ใช้ครีมทา ลูบเบาๆ ไม่ควรเกา
- สีผิวเข้ม ผิวคล้ำ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด เมื่อคลอดสีจะจางลง
- อาการแสบลิ้นปรี่ เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนไปที่หลอดอาหารและระบบย้อยอาหารทำงานช้า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
ปวดประจำเดือน ( Dysmenorrhea )
เป็นอาการปวดที่สัมพันธ์กับการมีประจำเดือน แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. การปวดประจำเดือนแบบปฐมภูมิ ( Primary Dysmenorrhea)
– เป็นอาการปวดที่สัมพันธ์กับการมีประจำเดือน ปวดบริเวณท้องน้อย และอาจมีปวดร้าวไปบริเวณหลังและต้นขา อาจจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียนได้
– อาการปวดเริ่มก่อนมีประจำเดือน 1 วัน และช่วงที่มีประจำเดือน โดยจะปวดมากในวันแรกที่มีประจำเดือน และค่อยๆลดลงในวันถัดมา
– จำนวนวันที่ปวด และความรุนแรงของการปวดท้องมักจะเท่าๆกับตอนที่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก (ตอนวัยรุ่น)
2. การปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ ( Secondary Dysmenorrhea )
– เป็นอาการปวดที่สัมพันธ์กับการมีประจำเดือน
– แต่จำนวนวันที่ปวดมากขึ้น เช่น ปวดก่อนมีประจำเดือน 2-3 วัน , ปวดหลังจากมีประจำเดือนทุกวัน, ปวดหลังจากประจำเดือนหยุดแล้วอีกหลายวัน
– ความรุนแรงของการปวด , ความเจ็บปวดรุนแรงมากขึ้น , ต้องทานยาเพิ่มขึ้น
– มีอาการอื่นร่วมด้ย เช่น ปวดเวลาถ่ายอุจจาระตอนมีประจำเดือน, เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
โรคที่มีความสัมพันธ์กับการปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิได้แก่
1. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ( Endometriosis)
– ปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ , ปวดรุนแรง หลายวัน
– ตรวจภายในพบพังผืด มีจุดกดเจ็บบริเวณด้านหลังมดลูก
– มดลูกคว่ำด้านหลัง
– มีบุตรยาก
– Ultrasound ทางช่องคลอดพบมดลูกคว่ำหลัง
การรักษา
- ยาฮอร์โมน, ยาแก้ปวด
- ผ่าตัดเลาะพังผืด
2. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในกล้ามเนื้อมดลูก
– ปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ , ปวดรุนแรงหลายวัน
– ประจำเดือนมามาก เลือดออกเยอะ และนาน
– ตรวจภายใน พบมดลูกโต , มดลูกคว่ำหลัง ,มีจุดกดเจ็บที่มดลูกและด้านหลังมดลูก
– Ultrasound พบมดลูกโต ผนังมดลูกหนา
3. Chocolate cyst หรือ Endometriotic cyst
– ปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ , ปวดรุนแรงหลายวัน , ปวดท้องน้อยด้านซ้าย หรือ ขวา
– ตรวจภายใน พบ มดลูกคว่ำหลัง หนังมดลูกหนา
– Ultrasound พบ มดลูกคว่ำหลัง ถุงน้ำมีรังไข่
การรักษา
- ยาฮอร์โมน, ยาแก้ปวด
- ผ่าตัดเลาะถุงน้ำ
เรียบเรียงโดย พญ.ดาราวดี สัทธาพงศ์ ศูนย์สุุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส จังหวัดปทุมธานี ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรสวนพริกไทย เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิปอเต็กตึ้ง เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู วิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องภายในโรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส ร่วมซักซ้อมแผนเผชิญเหตุมาตราการในการป้องกันและแก้ไขปัญหากลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาทในสถานพยาบาล (เปรียบเสมือนจริง)ที่โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี
งานทอดกฐินสามัคคีและผ้าป่าม้า ประจำปี 2562 วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2562 ณ สถานปฏิบัติธรรมป่าปริวาสกรรมหนองโรง (ป่าไผ่) จ.กาญจนบุรี
การดูแลสุขภาพสตรีที่ตั้งครรภ์และทารก ดูแลตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ไปจนถึงก่อนคลอด ทั้งสุขภาพกายและจิตใจ สตรีที่ตั้งครรภ์ควรรีบพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์ทันที และควรเข้ารับการตรวจครรภ์ตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งปฎิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์โดยเคร่งครัด
ประโยชน์ของการฝากครรภ์
- คุณแม่และทารกในครรภ์ ได้รับการดูแลและให้คำแนะนำอย่างถูกวิธี ตลอดการตั้งครรภ์จนถึงคลอด
- เมื่อคุณแม่รู้สึก ไม่สบายใจ สามารถปรึกษาแพทย์ได้ตลอด
- เมื่อคุณแม่มีอาการ ไม่สบายกาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหลัง ปวดขา ขาบวม ท้องผูก เหนื่อย
- แพทย์สามารถดู ตรวจร่างกาย รักษาและให้คำแนะนำได้อย่างรวดเร็ว
- ได้รับการตรวจครรภ์เป็นระยะ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และถ้าพบความผิด
- ปกติของทารก เช่น น้ำหนักน้อย น้ำคร่ำน้อย รกเกาะต่ำ จะได้รับคำแนะนำและแนวทางการดูแลรักษาอย่างทันที
- ได้รับคำแนะนำ วิธีการคลอดอย่างเหมาะสม
การเตรียมตัวก่อนไปฝากครรภ์ครั้งแรก
- ข้อมูลการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย โดยนับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย
- ประวัติการเจ็บป่วย การแพ้ยา โรคประจำตัว ประวัติความเสี่ยงต่อโรคทางพันธุกรรม
- ประวัติการตั้งครรภ์ การแท้งบุตร การคุมกำเนิด หรือการคลอดลูกท้องที่แล้ว ได้แก่ วิธีคลอด อายุครรภ์ น้ำหนักแรกคลอด ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์
- ประวัติการฉีดวัคซีนบาดทะยัก
เมื่อวันที่ 10-11 ตุลาคม 2562 โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส ได้จัดฝึกอบรมการซ้อมอัคคีภัย ภาคทฤษฎี และฝึกซ้อมการอพยพหนีไฟ ประจำปี 2562
โดยได้รับความร่วมมือจาก เทศบาลเทศบาลบางกะดี การฝึกอบรมผ่านพ้นไปด้วยดี ตามมาตราฐานกำหนด
ทั้งนี้ โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ เทศบาลบางกะดี มา ณ ที่นี้ด้วย
มะเร็งปากมดลูก ( Cervical Cancer)
-มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรีไทย
-จากสถิติพบว่าหญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก เณลี่ยปีละ 6,000 ราย
สาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
-99% ของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV ( Human Papilloma Virus) สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง
-โดยเฉพาะเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16,18 เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึง 70 %
อาการของมะเร็งปากมดลูก
-ระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการ
-ตกขาวเป็นเลือด
-ตกขาวปนเลือดมีกลิ่นเหม็น
-เลือดออกกระปิดกระปรอยไม่ตรงกับรอบเดือน
-เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธุ์
-เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาบวม ตัวบวม ปวดกระดูก เหนื่อย หอบ ในกรณีที่เป็นระยะลุกลาม
การวินิจฉัย
1.กรณีที่ยังไม่เห็นรอยโรค แต่ตรวจ Pep Smear ผลปกติหรือ HPV พบชนิดเสี่ยงสูง จะส่องกล้องที่ปากมดลูกและตัคดชิ้นเนื้อไปตรวจ ( Colposcopy) และตัดชิ้นเนื้อชิ้นใหญ่ที่ปากมดลูก LEEP หรือ Conization
2.กรณีที่เห็นก้อนเนื้อที่ปากมดลูกหรือแผลที่ปากมดลูก ใช้วิธีตัดชิ้นเนื้อและส่งตรวจทางพยาธิ
3.เมื่อทราบผลชิ้นเนื้อแล้ว จะตรวจเพิ่มเติม เพื่อให้ทราบระยะของโรค ได้แก่ ตรวจเลือด , X-RAY ปอด ,Ultrasound,CT-Scan , MRI ,PET Scan
การรักษา ขึ้นอยู่กับระยะของโรคได้แก่
1.ตัดชิ้นเนื้อที่ปากมดลูก เป็นรูปกรวยด้วยมีด ( Conization) / ด้วยห่วงลวดไฟฟ้า( LEEP/ LLET2 )ในกรณีที่เป็นระยะเริ่มแรกและยังต้องการมีบุตร
2.ตัดมดลูก,ปากมดลูก กรณีที่เป็นระยะเริ่มแรกและมีบุตรพอแล้ว
3.ตัดมดลูก, ปากมดลูก, ช่องคลอดส่วนบน เลาะเนื้อเยื่อด้านข้าง และเลาะต่อมน้ำเหลองในอุ้งเชิงกราน
4.ฉายแสงและฝังแร่
5.ฉายแสง, ฝังแร่ ร่วมกับให้ยาเคมีบำบัด
6.เคมีบำบัด
***ข้อดีของมะเร็งปากมดลูก คือ เมื่อเราทราบสาเหตุของโรค ทำให้สามารถป้องกันและมีวิธีการตรวจคัดกรองที่ดี
วิธีการตรวจคัดกรอง ได้แก่ การตรวจมะเร็งปากมดลูก ทุก 1-2 ปี
- วิธีดั้งเดิม ( Conventional Pep Smear)ใช้ไม้ป้ายเซลล์ที่ปากมดลูก นำมาป้ายที่ Slide แล้วนำไปย้อม อาจจะมีมูกบดบังเซลล์บางส่วน
- วิธีใหม่ (Liguid based Cytology) ป้ายเก็บเซลล์ที่ปากมดลูก แล้วใส่ในขวดน้ำยาพิเศษ นำไปปั่นแยกเซลล์ ได้เซลล์มากกว่าและเห็นชัดเจนกว่า
วิธีป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ การฉีด HPV Vaccine
- ชนิด 2 สายพันธุ์ ป้องกันเชื้อ HPV 16,18 ฉีด 3 เข็ม (0,3,6 เดือน)
- ชนิด 4 สายพันธุ์ ป้องกันเชื้อ HPV 16,18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก และ HPV 6,11 ซึ่งเป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ ฉีด 3 เข็ม (0,3,6 เดือน)
***หลังจากฉีดวัคซีนแล้วยังต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุก 1-2 ปี เป็นประจำ
การฝากครรภ์คืออะไร
แพทย์จะทำการตรวจร่างกายคุณแม่ สักประวัติ เพื่อหาอาการผิดปกติของคุณแม่ ตรวจทารถในครรภ์ เช่น ฟังเสียงหัวใจ ตรวจขนาดมดลูกโตผิดปกติไหม บางช่วงอาจมีการอัลตร้าซาวด์เพื่อดูขนาดตัวทารกปกติหรือเปล่า
ทำไมต้องฝากครรภ์
การตั้งครรภ์นั้นสำคัญมาก เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่กับเรา เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมาโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ตรวจเช็คร่างกาย ทั้งความดันโลหิต น้ำหนัก ดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และดูทารกเด็กในครรภ์ ว่าเจริญเติมโตได้ตามปกติหรือเปล่า
บางครั้งระหว่างการตั้งครรภ์ อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งหากเป็นโรคเบาหวาน จะต้องคุมอาหาร เจาะเลือดเพื่อเช็คระดับน้ำตาลบ่อยๆ ตรวจเช็คทารกในครรภ์ บางครั้งทารกอาจจะตัวเล็ก/ตัวโต กว่าปกติ อีกภาวะที่พบบ่อย คือ มีความดันโลหิตสูง ตัวบวม มีโปรตีนออกจากปัสสวะ เรียกว่า ภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งหากมีภาวะนี้ จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะคุณแม่อาจมีโอกาสที่จะชักได้ หรือทารถมีตัวเล็ก หรือเกิดเลือดออกในร่างกายของคุณแม่ได้
เพราะฉะนั้น การฝากครรภ์จึงสำคัญมาก เพื่อให้ทั้งคุณแม่และทารกปลอดภัย
ขั้นตอนการฝากครรภ์
ปกติแพทย์จะสักประวัติ สอบถาม การเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่ รวมไปถึงแนะนำเรื่องการทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน
ส่วนใหญ่ในการฝากครรภ์ครั้งแรก แพทย์จะสั่งตรวจเลือด/ปัสสวะ และอัลตร้าซาวด์เพื่อดูขนาดทารถ และหัวใจเต้นหรือยัง ซึ่งอายุครรภ์ที่จะสามารถเห็นตัวทารกและหัวใจได้ชัดทางหน้าท้อง คือ ประมาณ 8 สัปดาห์ โดยอายุครรถ์ยังไม่เยอะมาก แทพย์จะนัดตรวจทุก 4 สัปดาห์ หากเกิน 28 สัปดาห์ แพทย์จะนัดถี่ขึ้นคือทุก 2 สัปดาห์ และหลังจาก 37 สัปดาห์ แพทย์จะนัดทุกๆ สัปดาห์ ระหว่างการฝากครรภ์จะมีการตรวจเช็ค โรคเบาหวาน 1 ครึ่ง และมีการฉีดวัคซีนกันบาดทะยักให้คุณแม่ด้วย
นอกจากนี้การตรวจอัลตร้าซาวด์จะตรวจเป็นระยะ เช่น ครั้งแรกที่ฝากครรภ์ ครั้งที่ 2 หลัง 20 สัปดาห์ และตรวจตามข้อบ่อชี้ต่างๆ ช่วงใกล้คลอด แพทย์จะประเมิณร่างกายคุณแม่และทารก ว่าสามารถคลอดเองได้หรือเปล่า หรือต้องใช้วิธีผ่าตัดคลอด
วิธีแปรงฟันที่มีประสิทธิภาพ
ใช้วิธีขยับ-ปัด (Modified Bass Technique) ในทุกบริเวณยกเว้นฟันหน้าบนด้านเพดาน และฟันหน้าล่างด้านลิ้น วิธีขยับ-ปัดคือการเอียงแปรงสีฟันเข้าหาเหงือกประมาณ 45 องศา ปลายของขนแปรงจะแทรกเข้าไปในร่องเหงือกได้เล็กน้อย ออกแรงถูแปรงไปมาสั้นๆ 8-10 ครั้ง แล้วปัดแปรงสีฟันเข้าหาตัวฟันไปด้านปลายฟัน ทำ เช่นนี้ 5 – 6 ครั้ง ส่วนบริเวณฟันหน้าบนด้านเพดาน และฟันหน้าล่างด้านลิ้นใช้วิธีกด-ดึง-ปัด (Roll Technique) โดยเปลี่ยนให้แนวของด้ามแปรงสีฟันขนานกับแนวของซี่ฟันซี่นั้น กดปลายขนแปรงส่วนสุดท้าย ให้แนบกับบริเวณคอฟันแล้วดึงแปรงลงมา โดยให้ขนแปรงสัมผัสกับผิวฟันตลอดสำ หรับฟันบนหรือดึงขึ้นบนสำ หรับฟันส่าง
สำหรับการแปรงฟันด้านบดเคี้ยว ให้วางขนแปรงตั้งฉากกับด้านคี้ยวของฟัน แล้วออกแรงถูไปมา 4 – 5 ครั้ง แปรงให้ทั่วในส่วนที่ใช้ในการบดเคี้ยวหลังจากแปรงฟันครบทุกซี่ทุกด้านของฟันแล้ว ให้ใช้แปรงสีฟันแปรงบริเวณลิ้นด้วย เนื่องจาก
บริเวณลิ้นจะมีคราบเศษอาหารสะสมอยู่ สังเกตได้จากเมื่อลิ้นเป็นฝ้าขาว ซึ่งหากมีการหมักหมมอยู่นานๆ อาจก่อให้เกิดกลิ่นปากดังนั้นจึงควรทำความสะอาดลิ้น โดนใช้แปรงสีฟันถูเบาๆ บนด้านลิ้น
การใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี
1.ดึงไหมขัดฟันความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วพันที่บริเวณปลายนิ้วกลางทั้ง 2 ข้าง โดยเหลือความยาวของไหมขัดฟันที่พันระหว่างนิ้วประมาณ 2-3 เซนติเมตร
2.สอดไหมขัดฟันเข้าที่ซอกฟันและเหงือก โดยใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ในการควบคุม จากนั้นทำการขัดหรือถูในทิศทางขึ้นลง หรือโค้งเป็นรูปตัว C ควรทำด้วยความระมัดระวังเพราะอาจทำให้เลือดออกได้หากใช้ไหมขัดฟันลึกลงไปในเหงือกมาเกินไป
3.ควรใช้ไหมขัดฟันให้ครบทุกซี่ อาจเริ่มจากฟันบนซี่ในสุด โดยเรียงจากซ้ายไปขวาจนครบทุกซี่ เพื่อง่ายต่อการจดจำ จากนั้นทำต่อที่ฟันล่าง รวมถึงซอกด้านหลังของฟันซี่สุดท้าย เมื่อขัดฟันครบทุกซี่แล้วควรบ้วนปากเพื่อขจัดคราบแบคทีเรียบนผิวฟันและเศษอาหารที่ยังคงหลงเหลืออยู่
โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส จัดงานทำบุญเนื่องในวันครบรอบการก่อตั้ง โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส ปีที่ 19 ❤️🏥
โดยมีผู้บริหาร แพทย์ พยาบาล พนักงานและเจ้าหน้าที่ เข้าร่วมงานในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2562
#โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส #กรุงสยามเซนต์คาร์ลอส #StCarlos #KrungSiamStCarlos #ปีที่19 #19ปีกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส #19ปีโรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส #ก้าวสู่ปีที่20