Doctor's Search

Medium Images

ตุลาคม 9, 2017

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2560 โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส โดย นพ.สุชัย และ พญ.อัญชุลี หยองอนุกูล ได้เป็นประธานในงานบุญมหากฐินและผ้าป่าสามัคคี ประจำปี 2560 ณ วัดหนองไก่ขัน ต.เขาขลุง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี










Posted in News & Information TH by admin
มกราคม 31, 2024

การนวดรักษา และประคบสมุนไพร กับ “โรค Office Syndrome” โดย ฐานิดา บุญเรืองยศศิริ แพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส

การนวดรักษาและประคบสมุนไพร กับโรค “OFFICE SYNDROME”
ปัจจุบันการนวดรักษาและประคบสมุนไพรในผู้ป่วยที่มีอาการปวดต้นคอ บ่า ไหล่ จากโรคออฟฟิศซินโดรมเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งพบว่าสามารถลดความเจ็บปวดได้ถึง 25-80% หลังนวด และสามารถลดปวดได้นานถึง 15 สัปดาห์

1. อาการ Office Syndrome คือ
โรคออฟฟิศซินโดรม มีอาการหลักๆ คือ ปวดเมื่อยหล้ามเนื้อ เช่น ต้นคอ บ่า ไหล่ สะบัก หลัง

2. สาเหตุ
เนื่องมาจากกล้ามเนื้อที่หดแล้วไม่ยอมคลาย พบมากในคนที่ใช้กล้ามเนื้อทำงานในลักษณะเดิมๆซ้ำๆเป็นเวลานาน เช่น นั่งทำงานหน้าคอม เขียนหนังสือ ทำอาหาร หรือก้มหน้าเล่นโทรศัพท์

การนวดพื้นฐานบ่าลดอาการปวดเมื่อย จาก office syndrome

3. การเกิดอาการออฟฟิศซินโดรม
พฤติกรรมเหล่านั้นจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็งเป็นก้อน หรือที่เรียกว่า Taut Band และใน Taut Band เมื่อเรากดลงไปแล้วมีอาการเจ็บและอาจปวดร้าวไปยังจุดอื่นตาม Pattern ของแต่ละมัดกล้ามเนื้อเราจะเรียกจุดนี้ว่า Trigger point

ซึ่งแพทย์แผนไทยมองว่าเกิดจากการกระทบธาตุทั้ง 4 ในร่างกาย เช่น การอยู่ในอิริยาบทเดิมๆซ้ำๆเป็นเวลานานจะทำให้ลมเดินไม่สะดวกเกิดการคั่งค้างของลม ธาตุไฟจึงมาสุมมากขึ้น ทำให้ธาตุน้ำในดินแห้งและงวดเข้า ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี เกิดกล้ามเนื้อแข็งเกร็งเป็นก้อน และทำให้มีอาการปวดตามมา

4. การนวดรักษา
เป็นการนวดไทยแบบราชสำนัก โดยจะใช้นิ้วหัวแม่มือกดค้างไว้และกดลึกกว่าการนวดทั่วไป แล้วปล่อยออกไปตามแนวมัดกล้ามเนื้อที่มีปัญหา ช่วยคลายกล้ามเนื้อชั้นลึกและกระตุ้นการการไหลเวียนเลือด ทำให้ลมเดินได้สะดวกขึ้น กล้ามเนื้อแข็งเกร็งลดลง บรรเทาอาการปวดต้นคอ บ่า ไหล่ หลังได้

5. การประคบสมุนไพร
จะใช้ลูกประคบสมุนไพรอุ่นร้อนประคบไปตามร่างกาย เพื่อคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลือง บรรเทาอาการปวด การอักเสบ และลดการฟกช้ำหลังนวดได้

ข้อห้ามในการนวดกดจุดรักษา

1. มีไข้สูงเกิน 38.5 ํC
2. บริเวณที่มีกระดูกแตก หัก ปริ ร้าวที่ยังไม่ติดดี
3. ความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ 140/100 mmHg ขึ้นไป
4. มีอาการหน้ามืด ใจสั่น ปวดศีรษะ หรือคลื่นไส้อาเจียน
5. บริเวณที่เป็นแผลเปิด แผลเรื้อรัง หรือเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง
6. ข้อหลวม/ข้อเคลื่อน

ข้อห้ามในการประคบสมุนไพร

1. ไข้สูงเกิน 38.5 ํC
2. บริเวณที่เป็นแผลเปิด
3. บริเวณที่มีการอักเสบ (ปวด บวม แดง ร้อน) จากอุบัติเหตุในช่วง 24 ชม.แรก

ข้อควรระวังในการนวดกดจุดรักษา
1. บริเวณที่มีการอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
2. บริเวณที่ผ่าตัดในระยะเวลา 1 เดือน และบริเวณที่ใส่เหล็ก หรือข้อเทียม
3. หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุ และเด็ก
4. บริเวณที่มีหลอดเลือดดำอักเสบ (DVT)
5. กระดูกพรุน

ข้อควรระวังในการประคบสมุนไพร
1. บริเวณที่มีกระดูกแตก หัก ปริ ร้าวที่ยังไม่ติดดี
2. ผู้ป่วยโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน เพราะว่าการรับความรู้สึกลดลง ต้องระวังร้อนเกินไป
3. หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุ และเด็ก

ในผู้ที่เพิ่งเริ่มเป็นในระยะแรก แนะนำให้พยายามปรับท่านั่ง นั่งทำงานให้ถูกท่า หมั่นลุกยืดเหยียดกล้ามเนื้อทุกๆ 2 ชม. เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้นและไม่เป็นเพิ่มในอนาคต ถ้าหากใครมีอาการรุนแรงขึ้นหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดแขน ปวดข้อมือ ปวดศีรษะไมเกรน รวมถึงอาจจะมีอาการชาแขน ชามือและชานิ้ว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องและตรงจุด

Posted in Health Knowledge TH by admin
ธันวาคม 25, 2023

วัคซีนพื้นฐาน เป็นวัคซีนที่เด็กไทยทุกคนควรได้รับ เน้นวัคซีนป้องกันโรคที่เป็นปัญหาสำคัญ โดยกระทรวงสาธารณสุขจัดระบบบริการเพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศได้รับวัคซีนตามกำหนด โดยให้สถานบริการสาธารณสุขของรัฐเป็นหน่วยบริการหลัก

ปัจจุบัน เด็กไทยได้รับวัคซีนพื้นฐานอะไรบ้าง

แรกเกิด บีซีจี (BCG), ตับอักเสบบี (HB1)
1 เดือน ตับอักเสบบี (HB2) เฉพาะรายที่เกิดจากมารดาที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี
2 เดือน คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP-HB1)*, โปลิโอชนิดหยอด (OPV1)
4 เดือน คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP-HB2)*, โปลิโอชนิดหยอด (OPV2)
และโปลิโอชนิดฉีด (IPV) 1 เข็ม
6 เดือน คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี (DTP-HB3)*, โปลิโอชนิดหยอด (OPV3)
9-12 เดือน หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR1)
1 ปี ไข้สมองอักเสบเจอี (LAJE1)
1 ปี 6 เดือน คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP4), โปลิโอชนิดหยอด (OPV4)
2 ปี 6 เดือน หัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR2), ไข้สมองอักเสบเจอี (LAJE2)
4 ปี คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP5), โปลิโอชนิดหยอด (OPV5)
11 ปี (นักเรียนหญิง ป.5) เอชพีวี (HPV1, HPV2) ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน
12 ปี (ป.6) คอตีบ-บาดทะยัก (dT)

วัคซีนบีซีจี สามารถป้องกันวัณโรคปอดได้หรือไม่
วัคซีนบีซีจี (BCG) เป็นวัคซีนเชื้อเป็นที่ทำให้อ่อนกำลังลง ผลิตจากเชื้อ Mycobacterium bovis ฉีดให้เด็กแรกเกิดโดยฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง มักฉีดที่หัวไหล่ของเด็ก จุดประสงค์เพื่อป้องกันวัณโรคชนิดแพร่กระจาย และวัณโรคเยื่อหุ้มสมองในเด็กเล็ก แต่ไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดได้อย่างสมบูรณ์

ควรตรวจภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีนตับอักเสบบีหรือไม่ แนะนำในกลุ่มไหน
ในเด็กที่เกิดจากแม่ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หลังจากได้รับวัคซีนครบแล้ว แนะนำให้ตรวจภูมิคุ้มกันต่อตับอักเสบบี ที่อายุประมาณ 9-12 เดือน เพื่อยืนยันว่ามีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบีจริง และยืนยันว่าไม่ติดไวรัสชนิดนี้ด้วย

วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน มีอาการข้างเคียงที่สำคัญอย่างไร
อาการข้างเคียงที่สำคัญหลังฉีดวัคซีนชนิดนี้ คือ ไข้สูง ร้องกวน ตัวอ่อนปวกเปียก มักเกิดในช่วง 48 ชั่วโมงหลังจากฉีดวัคซีน หากใช้วัคซีนไอกรนชนิดไม่มีเซลล์โอกาสเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้จะลดลง อาการทางสมองที่รุนแรง (encephalopathy) ที่เกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนภายใน 7 วัน ถือเป็นข้อห้ามในการรับวัคซีนไอกรนทุกชนิด แต่อย่างไรก็ตามพบได้น้อยมาก ให้ใช้วัคซีนคอตีบ บาดทะยักแทน แต่ถ้ามีอาการแพ้แบบรุนแรง (anaphylaxis) เป็นข้อห้ามในการรับวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน ทุกชนิด

ทำไมต้องฉีดวัคซีนโปลิโอตอนอายุ 4 เดือนร่วมกับหยอดโปลิโอด้วย
ปัจจุบันวัคซีนโปลิโอชนิดกิน (OPV) มีส่วนประกอบเป็นเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ 1 และ 3 เท่านั้น ไม่มีเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ที่ 2 เนื่องจากไม่พบการระบาดของสายพันธุ์นี้ และคาดว่ากำจัดได้หมดแล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันการระบาดใหม่ที่อาจพบได้จากเชื้อในธรรมชาติ จึงต้องรับวัคซีนโปลิโอชนิดฉีด (IPV) ที่มีทั้ง 3 สายพันธุ์ ซึ่งพบว่า เมื่อให้ IPV 1 เข็ม ที่อายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดี จึงแนะนำให้เด็กอายุ 4 เดือน ที่รับวัคซีน OPV ต้องรับวัคซีน IPV ด้วย

วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) ควรเริ่มให้อายุเท่าไหร่ กี่เข็ม
ปัจจุบันแนะนำให้เริ่มให้ MMR เข็มแรกที่อายุ 9 เดือน-1 ปี การที่รับวัคซีนก่อนหน้าเร็วเกินไป วัคซีนจะไม่สามารถกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันเนื่องจากยังมีภูมิคุ้มกันแม่ที่ยังหลงเหลืออยู่ ขัดขวางการสร้างภูมิในตัวของเด็ก เข็มที่สองให้เมื่ออายุ 2 ปี 6 เดือน

วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็น ต่างจากชนิดเดิมอย่างไร
วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีปัจจุบัน ผลิตจากไวรัสที่อ่อนกำลังลง นำมาทดแทนวัคซีนเดิมที่ผลิตมาจากเชื้อตาย วัคซีนชนิดเชื้อเป็นที่อ่อนกำลังต้องฉีด 2 เข็ม มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อยกว่า เมื่อเทียบกับวัคซีนเชื้อตายที่ต้องฉีด 3 เข็ม และอาจพบผลข้างเคียง เช่น ปวด บวม แดง ร้อน ไข้ ปวดศีรษะ ลมพิษ หรือภาวะสมองอักเสบเฉียบพลันได้ อย่างไรก็ตามวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอีชนิดเชื้อเป็นนี้ห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

วัคซีนเอชพีวี สามารถให้ในเด็กชายได้หรือไม่
สามารถให้ได้ วัคซีนนี้สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งที่ทวารหนักได้ แต่ปัจจุบันวัคซีนนี้ยังไม่ได้บรรจุเป็นวัคซีนพื้นฐานสำหรับเด็กชายไทย วัคซีนเอชพีวีชนิด 4 สายพันธุ์มีประโยชน์ในการป้องกันโรคหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศและทวารหนักได้ด้วย

Posted in Health Knowledge TH by admin
ธันวาคม 23, 2023


แจ้งปิดให้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่
.
ศูนย์ตรวจสุขภาพ ปิดให้บริการ
วันที่ 30 ธ.ค. 66 ถึง 2 ม.ค. 67
และเปิดให้บริการในวันที่ 3 ม.ค. 67
.
.
ศูนย์ทันตกรรม
ปิดให้บริการ
วันที่ 30 ธ.ค. 66 ถึง 3 ม.ค. 67
และเปิดให้บริการในวันที่ 4 ม.ค. 67
.
.
แผนกกายภาพบำบัด
ปิดให้บริการ
วันที่ 30 ธ.ค. 66 ถึง 2 ม.ค. 67
และเปิดให้บริการในวันที่ 3 ม.ค. 67

โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้

Posted in News & Information TH by admin
พฤศจิกายน 10, 2023

เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2566 คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ จากโรงพยาบาลลาดพร้าว นำทีมโดย นพ.เรืองฤทธิ์ หรรษกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และ นพ.ณัฐวุฒิ ตันฑเทอดธรรม รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล เข้าเยี่ยมชม โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส เพื่อศึกษาดูงาน
โดยมี พญ.อัญชุลี หยองอนุกูล ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

Posted in News & Information TH by admin
ตุลาคม 1, 2023

ประกาศเรื่อง การทำลายแฟ้มเวชระเบียนผู้ป่วยประจำปี 2566

โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส จะดำเนินการทำลายแฟ้มเวชระเบียน ของผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกที่มารับบริการครั้งสุดท้ายก่อนวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555 และขาดการติดต่อเกิน 10 ปี

สำหรับท่านที่มีความประสงค์ให้โรงพยาบาลฯ จัดเก็บแฟ้มเวชระเบียนไว้ต่อไป สามารถยื่นบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อแสดงความประสงค์ที่แผนกเวชระเบียน ชั้น 2 โทร. 02-975-6700 ต่อ 2200, 2244 ตั้งแต่วันนี้ – ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
**หมายเหตุ แฟ้มเวชระเบียนถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลกรุณาติดต่อด้วยตนเองเท่านั้น
ทั้งนี้หากพ้นกำหนดเวลาในข้างต้น ทางโรงพยาบาลฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการทำลายแฟ้มเวชระเบียนตามระเบียบขั้นตอนต่อไป

กรกฎาคม 31, 2023

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Stem Cell กันมาพอสมควรแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ Stem Cell มีความก้าวหน้าไปเป็นอย่างมาก วันนี้เรามาทำความรู้จักและเข้าใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการนำ Stem Cell มาใช้ในการดูแลร่างกายของเรากัน

การเก็บสเต็มเซลล์จากเลือด

การเก็บสเต็มเซลล์จากเลือด

การแบ่งตัวของเซลล์

การแบ่งตัวของเซลล์


ที่มา “ความก้าวหน้าในการนำ Stem Cell มาใช้ในการดูแลร่างกาย โดย นายแพทย์ สุชัย หยองอนุกูล”
ออกอากาศที่ รายการ Hotline สายสุขภาพ เนชั่น ช่อง 22
วันที่ 30 ก.ค. 66 เวลา 10.10-10.40 น.

Posted in Health Knowledge TH by admin
มิถุนายน 12, 2023

วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันความดันโลหิตสูงโลก (World Hypertension Day) โดยปี 2566 นี้ สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลก (World Hypertension League) ได้กำหนดประเด็นการรณรงค์ คือ “Measure Your Blood Pressure Accurately, Control It, Live Longer. ความดันสูงเกินไป คุมให้ดี ยืดชีวิตให้ยืนยาว”
ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากถึง 14 ล้านคน และมากกว่า 7 ล้านคนที่ป่วยแต่ยังไม่เข้ารับการรักษา โรคความดันโลหิตสูงส่วนมากมักไม่แสดงอาการ หากผู้ป่วยมีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลานานและไม่ได้รับการรักษา ความรุนแรงของโรคจะเพิ่มมากขึ้น และอาจมีอาการต่างๆ ได้แก่ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น ตาพร่ามัว เป็นลมหมดสติ และเกิดโรคแทรกซ้อนตามมา ได้แก่ โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
โรคความดันโลหิตสูง ส่วนมากไม่แสดงอาการ หากมีความดันสูงมากๆ อาจจะมีอาการเหล่านี้ได้
1.เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ
2.หน้ามืด
3.เป็นลม หมดสติ
4.ใจสั่น
5.ตาพร่ามัว

วิธีป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
1. งดรับประทานอาหารที่มีรสชาติเค็ม
2. งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่อมดื่มที่มีแอลกาฮอล์
3. มีกิจกรรมทางกายและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
4. ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก
5. วัดความดันโลหิต อย่างสม่ำเสมอ

ที่มา https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/9/iid/182186 และกรมควบคุมโรค

เมษายน 20, 2023

หน้าร้อนนี้….ระวังป่วย โรคฮีทสโตรก

ฮีทสโตรก (Heat stroke) คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวหรือควบคุมระดับความร้อนในร่างกายจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด
อาการสำคัญ

  • ตัวร้อน (เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนเกิน 40 องศาเซลเซียส)
  • หน้ามืด
  • เพ้อ
  • กระสับกระส่าย
  • มึนงง
  • หายใจเร็ว
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ชักเกร็ง
  • ช็อก

6 กลุ่มเสี่ยงสำคัญ

  • ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด
  • เด็กเล็กและผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่าคนหนุ่มสาว
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
  • ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวมากขึ้นทำให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่สูงจึงอาจเกิดอาการช็อกและเสียชีวิต

คำแนะนำ

  • สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ระบายความร้อนได้ดี
  • ควรอยู่ในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
  • ลดหรือเลี่ยงทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงกลางแจ้งนานๆ
  • สวมแว่นกันแดด กางร่ม สวมหมวกปีกกว้าง
  • ควรดื่มน้ำ 2-3 ลิตรต่อวัน เพื่อชดเชยการเสียน้ำในร่างกายจากเหงื่อออก
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
  • ผู้ที่ออกกำลังกาย ควรเลือกในช่วงเช้า/ช่วงเย็น เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศไม่ร้อนมากและเป็นเวลาที่เหมาะสม

ข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค

Posted in Health Knowledge TH by admin
เมษายน 8, 2023

PM 2.5 คืออะไร? เกิดจากอะไร?
PM2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดย PM ย่อมาจากคำว่า Particulate Matters หรือฝุ่นละออง ส่วนตัวเลข 2.5 คือขนาดของฝุ่นละออง ซึ่งมีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หากถามว่า 2.5 ไมครอนนี้เล็กขนาดไหน ก็คงเทียบได้ 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผม เรียกได้ว่าเล็กจนขนาดขนจมูกของคนเรา ซึ่งทำหน้าที่กรองฝุ่นนั้น ไม่สามารถดักจับฝุ่นเหล่านี้ได้เลย

ด้วยขนาดที่เล็กมากของฝุ่น PM2.5 ซึ่งลอยอยู่ในอากาศร่วมกับไอน้ำ ควัน ก๊าซต่าง ๆ จึงทำให้แพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และอวัยอื่น ๆ ในร่างกายได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นพาหะนำสารอันตรายอื่น ๆ ที่เคลือบอยู่บนผิวของฝุ่นเข้ามาอีกด้วย เช่น สารปรอท สารโลหะหนัก สารก่อมะเร็ง ซึ่งสารเหล่านี้ส่งผลเสียกับร่างกายเป็นอย่างมาก

4 กลุ่มโรค ที่อาจเกี่ยวกับการได้รับฝุ่นละอองขนาดเล็ก
1.โรคระบบทางเดินหายใจ
2.โรคหัวใจและหลอดเลือด
3.โรคตาอักเสบ
4.โรคผิวหนัง

การป้องกันตนเองสำหรับประชาชน
1.ตรวจเช็คค่าฝุ่นก่อนออกจากบ้าน (แอปพลิเคชั่น Air4Thai หรือเครื่องวัดพกพา)
2.สวมหน้ากากอนามัยสำหรับที่สามารถป้องกันฝุ่นได้
3.ลดระยะเสลาทำกิจกรรใ/ออกกำลังกายกลางแจ้ง (กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังตนเอง คือ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วย 4 กลุ่มโรค)
4.ปิดบ้านให้มิดชิด โดยเฉพาะบ้านที่มีผู้ป่วยอาศัย (หรือจัดให้มีระบบฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพ)
5.ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ รับประทานผักและผลไม้

ข้อมูลจาก กลุ่มพัฒนาระบบข่าวกรอง และเฝ้าระวังโรคไม่ติดต่อ กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค

Posted in Health Knowledge TH by admin
กุมภาพันธ์ 6, 2023

มะเร็งปากมดลูก โดยส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดฮิวแมนแปปปิโลมาไวรัส (Human Papillomavirus) หรือหรืออีกชื่อหนึ่งว่า เชื้อเอชพีวี (HPV) ซึ่งติดต่อไปยังบุคคลอื่นๆ ได้จากการมีเพศสัมพันธ์ ในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งอาจจะเคยได้รับเชื้อนี้ แต่ร่างกายสามารถกำจัดไปได้ และมีบางส่วนที่ไม่สามารถกำจัดเชื้อได้ รวมถึงมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูกและทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น หูดหงอนไก่ มะเร็งปากมดลูก และอื่นๆ

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ นอกจากเชื้อ HPV ได้แก่
1. ด้านอายุ ส่วนใหญ่มะเร็งปากมดลูกมักพบในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
2. มีคู่นอนหลายคน ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อ HPV มากขึ้น
3. สูบบุหรี่
4. มีบุตรจำนวนมาก
5. ร่างกายมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์)
6. การได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆ อย่างเช่น โรคติดเชื้อคลามีเดีย (chlamydia) โรคหนองในแท้ (gonorrhea) โรคซิฟิลิส (syphilis) และโรคติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ (HIV/AIDS)

การตรวจวินิฉัยโรคมะเร็งปากมดลูก
ถ้าแพทย์ตรวจแป๊ปสเมียร์พบมีผลเซลล์วิทยาผิดปกติ แพทย์อาจนัดตรวจส่องกล้องขยายดูบริเวณปากมดลูก เพื่อหาความผิดปกติและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ แต่หากแพทย์ตรวจพบความผิดปกติของบริเวณปากมดลูกด้วยตาเปล่า แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเลย ซึ่งทำให้ทราบว่ามีความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูกอยู่ในระยะก่อนเป็นมะเร็ง หรืออยู่ในระยะเป็นมะเร็งแล้ว ในกรณีที่เป็นรอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง แพทย์จะทำการรักษาด้วยวิธีการรักษาต่างๆ ได้แก่ การตรวจติดตาม, การจี้ความ เย็น, การตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า เป็นต้น หากรอยโรคเป็นระยะมะเร็งปากมดลูกแล้ว แพทย์จะต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อตรวจว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะใดของมะเร็ง ซึ่งมะเร็งปากมดลูกมี 4 ระยะ

• ระยะที่ 1 เป็นระยะต้น
• ระยะที่ 2-3 เป็นระยะกลาง
• ระยะที่ 4 เป็นระยะสุดท้าย อาจมีการแพร่กระจายของโรคไปยังอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ตับ, ปอด, กระดูก เป็นต้น

 

การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก
1. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีคู่นอนหลายคน หรือการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
2. รับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีน HPV
3. เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ

การรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก
ผู้ป่วยที่ตรวจพบโรคมะเร็งปากลูกก็มีทางเลือกในการรักษามะเร็งปากมดลูกที่หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด (Surgery) การใช้รังสีรักษา (Radiation) การใช้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) หรือการรักษาร่วมกัน
นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาด้วยการใช้ยารักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted-Drug Therapy) แพทย์มักจะใช้การรักษารูปแบบนี้ควบคู่ไปกับการรักษาด้วยเคมีบำบัด

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
การตรวจเซลล์ปากมดลูกด้วยวิธีทางเซลล์วิทยา หรือแป๊ปสเมียร์ (Pap smear) ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจเช็คให้ในขณะที่ทำการตรวจภายใน ซึ่งหลังจากตรวจเสร็จแพทย์จะนัดฟังผลตรวจหรือแจ้งผลให้ทราบในภายหลัง หากมีความผิดปกติก็จะใช้การรักษาตามความผิดปกติของรอยโรค
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยเซลล์วิทยา ร่วมกับการตรวจหาเชื้อ HPV ชนิดที่มีความเสี่ยงสูง การตรวจวิธีนี้มีข้อดีคือ แพทย์สามารถให้การดูแลรักษาเซลล์ปากมดลูกที่ผิดปกติได้ดีขึ้น และเป็นการต้องกันหรือวางแผนการรักษาตั้งแต่ตรวจพบเชื้อ HPV ก่อนที่จะก่อตัวเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้
ในปัจจุบันแนะนำให้ผู้หญิงไทยตรวจภายในพร้อมตรวจแป๊ปสเมียร์ในกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์แล้วประมาณ 3 ปี หรืออายุมากกว่า 30 ปี หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ

ดังนั้น หากไม่เคยตรวจภายใน เพื่อค้นหารอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็ง (Precancercous lesion) ซึ่งในช่วงเวลานี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ แต่สามารถตรวจพบด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยาที่เรียกว่าแป๊ปสเมียร์ (Pap smear) และสามารถรักษาได้ หากตรวจพบรอยโรคในระยะนี้ก็จะสามารถป้องกันการเกิดเป็นมะเร็งปากมดลูกได้

Posted in Health Knowledge TH by admin